หลายคนอาจเคยเชื่อว่า “เก็บเงินสดไว้ปลอดภัยที่สุด” แต่ในโลกตอนนี้ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นแทบทุกเดือน และเงินเฟ้อค่อย ๆ กัดกินมูลค่าเงินในกระเป๋าเราโดยไม่รู้ตัว คำพูดนั้นอาจไม่จริงอีกต่อไป
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เงินเฟ้อทั่วโลกขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง สินค้าราคาสูงขึ้นทุกประเภท จากอาหาร น้ำมัน ไปจนถึงค่าใช้จ่ายรายวัน ผลคือ “เงิน 100 บาทเมื่อวาน ซื้อของได้น้อยกว่าเงิน 100 บาทวันนี้” และนั่นคือสัญญาณชัดเจนว่า เงินสดไม่ใช่ที่หลบภัยอีกต่อไป

ทำไมการถือเงินสดมากเกินไปถึงเสี่ยง
ในภาวะที่เงินเฟ้อสูง มูลค่าเงินสดจะค่อย ๆ ลดลงโดยอัตโนมัติ เช่น หากอัตราเงินเฟ้อปีละ 5% หมายความว่าเงิน 1 ล้านบาทของคุณจะมีมูลค่าเทียบเท่า 950,000 บาทในปีหน้า
ฟังดูเหมือนนิดเดียว แต่ลองคิดดูว่าใน 10 ปี เงิน 1 ล้านบาทจะเหลือมูลค่าเพียงประมาณ 600,000 บาทเศษเท่านั้น ซึ่งก็คือ “คุณสูญเสียอำนาจซื้อไป 40% โดยไม่ได้ทำอะไรเลย”
นี่คือเหตุผลที่นักวางแผนการเงินมักพูดว่า “ถ้าเงินของคุณอยู่นิ่ง มันไม่ได้หยุดอยู่กับที่ แต่มันค่อย ๆ ถอยหลัง”
ความเข้าใจผิดยอดฮิตเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
หลายคนเข้าใจว่า “เงินเฟ้อ” เป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่มันอยู่รอบตัวเราทุกวัน เมื่อราคาสินค้าขึ้น แต่รายได้ขึ้นช้ากว่า นั่นคือผลกระทบจากเงินเฟ้อเต็ม ๆ เช่น
- ปีที่แล้วกาแฟแก้วละ 50 บาท ปีนี้ขึ้นเป็น 60 บาท
 - ค่าไฟ ค่าน้ำมัน หรือค่าเดินทางขึ้นเฉลี่ยปีละ 3–5%
 - แต่เงินเดือนขึ้นเพียง 2–3%
 
ผลคือ เราใช้เงินเท่าเดิมแต่ได้ของน้อยลง นี่แหละคือการ “สูญเสียแบบเงียบ ๆ” ที่เกิดจากเงินเฟ้อ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว
เงินเฟ้อทำร้ายผู้ถือเงินสดอย่างไร
สมมติคุณเก็บเงินสด 500,000 บาทไว้ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ย 0.25% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 4% ต่อปี แปลว่าคุณ “ขาดทุนจริง” อยู่ที่ประมาณ 3.75% ต่อปี
อีกนัยหนึ่งคือ เงินคุณโตแค่ 1,250 บาทต่อปี แต่ของทุกอย่างแพงขึ้น 20,000 บาท หรือพูดง่าย ๆ คุณกำลังเสียเงินโดยที่ไม่ได้ใช้มันเลย
สิ่งที่ควรทำ เปลี่ยนจาก “เก็บเงิน” เป็น “จัดพอร์ต”
การเก็บเงินยังสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “จัดพอร์ตการลงทุน” เพราะเงินแต่ละส่วนควรถูกวางไว้ในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าเงินเฟ้อ
แนวคิดง่าย ๆ คือ “ให้เงินทำงาน แทนที่จะปล่อยให้เงินหลับอยู่ในบัญชี”
หลักการจัดพอร์ตเพื่อชนะเงินเฟ้อในปีนี้
1. เข้าใจเป้าหมายและระดับความเสี่ยงของตัวเองก่อน
ก่อนจะเริ่มลงทุน ต้องรู้ก่อนว่า “เป้าหมายของเงินคืออะไร” เช่น เงินก้อนนี้จะใช้ใน 1 ปี หรือ 10 ปี เพราะระยะเวลามีผลต่อวิธีจัดพอร์ตอย่างมาก
- ถ้าเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน ควรเก็บไว้ในสินทรัพย์สภาพคล่อง เช่น บัญชีเงินฝากประจำระยะสั้น หรือกองทุนตลาดเงิน
 - ถ้าเป็นเงินระยะกลาง–ยา: สามารถจัดสรรไปในสินทรัพย์เสี่ยงปานกลางถึงสูง เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อได้จริง
 
2. แบ่งพอร์ตออกเป็น 3 ส่วนหลัก
การจัดพอร์ตไม่จำเป็นต้องซับซ้อน คุณสามารถแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วนเพื่อกระจายความเสี่ยงได้แบบนี้
- พอร์ตสภาพคล่อง (Liquidity) 20–30% เงินที่พร้อมใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น ฝากประจำระยะสั้น หรือกองทุนตลาดเงิน
 - พอร์ตสร้างผลตอบแทนปานกลาง (Stable Growth) 30–40% เช่น กองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนผสม
 - พอร์ตสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Growth) 30–40% เช่น หุ้น กองทุนหุ้น กองทุนต่างประเทศ หรืออสังหาริมทรัพย์
 
การกระจายแบบนี้ทำให้คุณไม่ต้องกลัวตลาดผันผวน และยังมีเงินสดไว้ใช้เมื่อจำเป็น
3. ลงทุนในสินทรัพย์ที่เติบโตได้ดีกว่าเงินเฟ้อ
มีหลายสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับสู้เงินเฟ้อ เช่น
- หุ้นและกองทุนหุ้น (Equity Fund) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาว 6–10% ต่อปี สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป
โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่เติบโตตามเศรษฐกิจ เช่น เทคโนโลยี พลังงาน หรือสุขภาพ - ทองคำ (Gold) เป็นสินทรัพย์ที่มักปรับตัวขึ้นในช่วงที่ค่าเงินอ่อนหรือเงินเฟ้อสูง เหมาะกับใช้กระจายความเสี่ยง
 - อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ทั้งบ้านเช่า คอนโด หรือกองทุนอสังหาฯ ให้ผลตอบแทนจากค่าเช่าและมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นตามเวลา
 - กองทุนรวมต่างประเทศ ช่วยกระจายความเสี่ยงจากค่าเงินบาท และเปิดโอกาสลงทุนในตลาดที่เติบโตเร็วกว่า
 

4. พิจารณาสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment)
ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยยังผันผวน การมีพอร์ตเสริม เช่น
- กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)
 - หุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี (Corporate Bond)
 - สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) (ควรศึกษาก่อนลงทุน)
 
จะช่วยให้พอร์ตมีสมดุลระหว่าง “ผลตอบแทน” และ “ความเสี่ยง” มากขึ้น
5. ปรับพอร์ตตามสถานการณ์เศรษฐกิจ
การจัดพอร์ตไม่ใช่เรื่องทำครั้งเดียวจบ เพราะเศรษฐกิจและนโยบายดอกเบี้ยของแต่ละประเทศเปลี่ยนตลอดเวลา
แนะนำให้ตรวจสอบพอร์ตปีละ 1–2 ครั้ง ดูว่าผลตอบแทนแต่ละส่วนยังตรงเป้าหมายหรือไม่ และปรับน้ำหนักสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ล่าสุด
เช่น ปีที่ดอกเบี้ยขึ้นแรง อาจลดสัดส่วนตราสารหนี้และเพิ่มเงินฝาก แต่ถ้าตลาดเริ่มฟื้น อาจโยกกลับมาที่หุ้นหรือกองทุนหุ้นเพื่อรับโอกาสเติบโต
ตารางพอร์ตสู้เงินเฟ้อสำหรับปีนี้
| ประเภทสินทรัพย์ | สัดส่วน | เป้าหมาย | 
| เงินฝาก / กองทุนตลาดเงิน | 20% | สภาพคล่องและความมั่นคง | 
| กองทุนตราสารหนี้ | 25% | รายได้ประจำต่อเนื่อง | 
| กองทุนหุ้นไทย / ต่างประเทศ | 35% | เติบโตระยะยาว | 
| ทองคำ / อสังหาริมทรัพย์ | 15% | ป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน | 
| สินทรัพย์ทางเลือก | 5% | เพิ่มโอกาสผลตอบแทน | 
นี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าว ๆ ที่สามารถปรับได้ตามอายุ ความเสี่ยง และเป้าหมายของแต่ละคน
6. ใช้ประโยชน์จาก “ดอกเบี้ยทบต้น”
เมื่อคุณเริ่มลงทุน อย่าลืมว่า “เวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเงิน” เพราะทุกครั้งที่คุณปล่อยให้ผลตอบแทนทบต้น เงินของคุณจะเติบโตแบบเร่งตัว
เช่น ลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี ใน 10 ปี คุณจะมีเงินเกือบ 900,000 บาท แต่ใน 20 ปี จะเพิ่มเป็น 2.9 ล้านบาท โดยไม่ต้องเพิ่มเงินลงทุนเลย นี่คือพลังของการ “ไม่ปล่อยให้เงินอยู่เฉย”
7. อย่าลืมส่วนของ “เงินสดฉุกเฉิน”
แม้บทความนี้จะพูดถึงการลงทุนเพื่อชนะเงินเฟ้อ แต่คุณไม่ควรลงเงินทั้งหมด เพราะเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ
ควรมี “เงินสดฉุกเฉิน” อย่างน้อย 3–6 เดือนของค่าใช้จ่ายประจำ เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วย หรืองานขาดรายได้ เงินส่วนนี้ควรอยู่ในสินทรัพย์ที่ถอนง่าย เช่น บัญชีออมทรัพย์หรือกองทุนตลาดเงิน
8. อย่าลงทุนตามกระแส แต่ให้ลงทุนตามแผน
การลงทุนเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อไม่จำเป็นต้องหวือหวา หลายคนรีบซื้อสินทรัพย์ที่กำลังเป็นกระแส เช่น หุ้นร้อน คริปโทฯ หรือทองช่วงราคาพุ่ง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ “ความเข้าใจในสิ่งที่ลงทุน”
แผนที่ดีคือแผนที่คุณสามารถถือได้อย่างสบายใจในทุกสภาวะ เพราะการชนะเงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องของความเร็ว แต่คือ “ความต่อเนื่อง”
เงินเฟ้ออาจเป็นศัตรูเงียบที่หลายคนไม่ทันระวัง แต่มันก็เป็นโอกาสสำหรับคนที่รู้จัก “จัดพอร์ตอย่างมีระบบ” แทนที่จะปล่อยให้เงินสดนอนอยู่ในบัญชีอย่างไร้ค่า ให้มันออกไป “ทำงาน” ผ่านการลงทุนที่เหมาะกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงของคุณ
เพราะสุดท้ายแล้ว ความมั่งคั่งไม่ได้มาจากรายได้ที่สูงขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่มาจาก “ความเข้าใจในการใช้เงินให้เติบโต” ต่างหาก

