รู้ก่อนผ่อน รถคันแรกต้องจ่ายเท่าไหร่ คำนวณค่างวดอย่างไรไม่ให้พลาดแผนการเงิน

การซื้อรถยนต์คันแรกในชีวิตอาจเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของหลายคน แต่แทนที่จะมองแค่ราคารถป้ายแดง สิ่งที่ควรคิดให้รอบด้านยิ่งกว่าคือ “ค่างวดรายเดือนที่ต้องจ่ายจริง” เพราะแม้จะดาวน์น้อยหรือดอกเบี้ยดูเหมือนต่ำ แต่หากคำนวณไม่รอบคอบ ค่างวดที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนอาจกลายเป็นภาระระยะยาวที่กระทบต่อเงินในกระเป๋าอย่างไม่รู้ตัว ก่อนตัดสินใจซื้อรถไม่ว่าจะป้ายแดงหรือมือสอง การรู้วิธีคำนวณค่างวดเบื้องต้นด้วยตัวเอง จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้แม่นยำขึ้น รู้ว่าแบบไหนเหมาะกับรายได้ และเข้าใจตัวเลขจริงที่ต้องจ่ายตลอดสัญญา

สิ่งที่ใช้ในการคำนวณค่างวดรถมีอยู่ไม่กี่ตัวแปรหลักๆ ซึ่งถ้าคุณเข้าใจแต่ละตัว ก็สามารถประมาณค่างวดได้ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น ได้แก่:

  1. ราคารถ (ราคาก่อน VAT)
  2. จำนวนเงินดาวน์ หรือเปอร์เซ็นต์ที่วางไว้
  3. ยอดจัดไฟแนนซ์ = ราคารถ – เงินดาวน์
  4. อัตราดอกเบี้ยต่อปี (อาจเป็นแบบคงที่หรือลดต้นลดดอก)
  5. ระยะเวลาผ่อน (โดยทั่วไป 12-84 เดือน หรือ 1-7 ปี)

ตัวอย่างการคำนวณแบบเบื้องต้น (สำหรับดอกเบี้ยแบบคงที่):

ค่างวดต่อเดือน = (ยอดจัด + ดอกเบี้ยทั้งหมด) ÷ จำนวนเดือนที่ผ่อน

โดยดอกเบี้ยทั้งหมดสามารถคำนวณคร่าวๆ ได้จาก:

ดอกเบี้ยทั้งหมด = ยอดจัด × อัตราดอกเบี้ยต่อปี × จำนวนปีที่ผ่อน

ยกตัวอย่างง่ายๆ
ราคารถ = 700,000 บาท
ดาวน์ 20% = 140,000 บาท
ยอดจัด = 560,000 บาท
ดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี
ผ่อน 5 ปี (60 เดือน)

ดอกเบี้ยทั้งหมด = 560,000 × 0.03 × 5 = 84,000 บาท
ยอดรวมที่ต้องจ่าย = 560,000 + 84,000 = 644,000 บาท
ค่างวดต่อเดือน = 644,000 ÷ 60 = 10,733 บาท (โดยประมาณ)

นอกจากตัวเลขค่างวด ยังมีองค์ประกอบอื่นที่ควรนำมาคิดรวมด้วย เช่น ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก (ซึ่งหลายไฟแนนซ์รวมในยอดจัด), ค่าจดทะเบียน, พรบ., ค่าโอน, รวมถึงค่าบำรุงรักษาที่จะตามมาในแต่ละปี หลายคนเข้าใจผิดว่าค่างวดถูกคือดี แต่หากแลกมากับการผ่อนนานเกินไป เช่น 7 ปี อาจทำให้ดอกเบี้ยรวมสูงขึ้นมาก หรือในกรณีที่ขายรถก่อนหมดไฟแนนซ์ อาจเจอยอดค้างที่ต้องโปะเพิ่ม เพราะยังเหลือยอดหนี้ที่มากกว่าราคาขายจริง

สิ่งสำคัญคือ ควรกำหนดงบค่างวดที่จ่ายได้จริงในแต่ละเดือนโดยไม่กระทบค่าใช้จ่ายอื่นในชีวิต โดยคำแนะนำทั่วไปคือ ไม่ควรเกิน 25%-30% ของรายได้ต่อเดือน เช่น หากคุณมีรายได้เดือนละ 30,000 บาท ค่างวดที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 9,000 บาท หากคุณมีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการ ควรคำนวณจากรายได้เฉลี่ยหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว และเผื่อเงินสำรองไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ไม่แนะนำให้จ่ายค่างวดตึงมือ เพราะรถคือหนี้ที่ต้องผ่อนต่อเนื่องทุกเดือน

อีกสิ่งที่ควรระวังคือ ดอกเบี้ยแบบคงที่ กับ ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ซึ่งให้ตัวเลขค่างวดที่ต่างกัน แม้เปอร์เซ็นต์ที่โฆษณาอาจใกล้เคียงกัน

  • ดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ค่างวดเท่ากันทุกเดือน แต่ดอกจริงจะสูงกว่า
  • ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก ดอกที่จ่ายในแต่ละเดือนจะลดลงตามยอดคงค้าง ทำให้ดอกจริงโดยรวมต่ำกว่า แต่ค่างวดเดือนแรกอาจสูงกว่าหากไม่ได้เฉลี่ย

หากคุณสามารถโปะจ่ายได้เร็ว หรือมีรายได้ไม่แน่นอน ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มกว่าในระยะยาว

การซื้อรถไม่ใช่แค่เรื่องของราคาหน้าป้าย แต่คือภาระทางการเงินระยะยาวที่ต้องวางแผนให้รอบคอบ การรู้วิธีคำนวณค่างวดรถอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น เลือกเงื่อนไขที่เหมาะกับฐานะ และป้องกันไม่ให้หนี้รถกลายเป็นภาระที่หนักเกินตัว ก่อนตัดสินใจซื้อรถ ควรพิจารณารายได้ ค่างวด ดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อน และค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ ให้ครบถ้วน อย่าตัดสินใจเพียงเพราะยอดดาวน์ต่ำ หรือค่างวดเริ่มต้นถูก ควรมองภาพรวมในระยะยาว เพื่อให้รถคันแรกของคุณกลายเป็นทรัพย์สิน ไม่ใช่ภาระที่ต้องแบกไปอีกหลายปี